doctorwe.com

Dr.Weraphong Chutipat   A Columnist

Fanpage 828_315
  • ล่าสุด
  • บทความ
  • แจกฟรี
  • การอบรม
  • ชม+ฟัง
  • ผู้เขียน


  • A A A
    • พ.ศ. :
    • 2563
    • 2562
    • 2561
    • 2560
    • 2559
    • 2558
    • 2557
    • 2556
    • 2555
    • 2554
      เดือน :
    • ม.ค.
    • ก.พ.
    • มี.ค.
    • เม.ย.
    • พ.ค.
    • มิ.ย.
    • ก.ค.
    • ส.ค.
    • ก.ย.
    • ต.ค.
    • พ.ย.
    • ธ.ค.

    20 มิถุนายน 2554

    5,359 views

    ดู…ยักษ์ใหญ่เป็นหนี้ แล้วย้อนดู…ตัวเอง

    พิมพ์หน้านี้

    คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย

    ดู…ยักษ์ใหญ่เป็นหนี้ แล้วย้อนดู…ตัวเอง

    ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์

    สหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ชาวโลกอีกครั้ง เนื่องมาจาก สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (เอสแอนด์พี) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศปรับมุมมองประเทศสหรัฐอเมริกาจาก “มีเสถียรภาพ” ไปเป็น “เชิงลบ” ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งนี้ได้ปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศสหรัฐอเมริกาไปอยู่ในระดับดังกล่าว เหตุการณ์นี้ทำให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปรับตัวลดลงทันทีเกือบ 2 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุเป็นเพราะว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐซึ่งเป็นเสมือนที่ปลอดภัยในการพักพิงของเงินคงคลังของประเทศต่างๆถูกปรับลดความน่าเชื่อถือลง นอกจากนั้นยังทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมที่สูงขึ้นของรัฐบาลสหรัฐ และยังมีผลกระทบกระเทือนต่อบทบาทของพันธบัตรของประเทศต่างๆที่อาจต้องให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย

    สาเหตุหลักที่ทำให้เอสแอนด์พีปรับลดความน่าเชื่อถือดังกล่าวนั้นมาจาก ยอดค่าใช้จ่ายที่เกินตัวของรัฐบาลสหรัฐ โดยพบว่าหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 มีตัวเลขสูงถึง 14.32 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 98 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตมวลรวม (GDP) ของสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ที่ 14.66 ล้านล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้เป็นหนี้ต่างประเทศประมาณ 4.45 ล้านล้านดอลลาร์หรือคิดเป็น 31 เปอร์เซ็นต์ของหนี้ทั้งหมด โดยมีเจ้าหนี้รายใหญ่ๆได้แก่ ธนาคารชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และอังกฤษเป็นต้น แต่ที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ ในปี 2531 สหรัฐมีหนี้ต่างประเทศอยู่เพียง 13 เปอร์เซ็นต์ของหนี้สาธารณะทั้งหมด หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 20 ปี….หนี้ต่างประเทศของสหรัฐอเมริกากลับเจริญเติบโตกว่าเท่าตัว และมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อยๆ…

    ก่อนถึงวันที่ 11 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นวันที่ขบวนการอัลกออิดะห์ขับเครื่องบินถล่มตึกเวิร์ลเทรดที่นครนิวยอร์คนั้น รัฐบาลสหรัฐในขณะนั้นนำโดยประธานาธิบดีจอร์จ บุช ได้นำเสนองบประมาณเกินดุลระหว่างปี 2544 ถึงปี 2547 โดยคาดว่าจะมีเงินประมาณเกินดุลหรือเหลือจากการใช้จ่ายของรัฐบาลสูงถึง 1.288 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมาช่วยชำระหนี้สาธารณะที่มีอยู่อย่างมหาศาลให้ลดลงไปบ้าง

    แต่หลายครั้ง…ความจริง…มักจะไม่ยอมเป็นไปตามคาด ในปี 2548 ได้มีการทบทวนแผนดังกล่าวและพบว่า แทนที่จะมีเงินเหลือ 1.288 ล้านล้านดอลลาร์ตามที่คาดการณ์ไว้ งบประมาณได้เปลี่ยนจากเกินดุลไปเป็นขาดดุลสูงถึง 0.851 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากหักกลบลบกันแล้วพบว่า มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากแผนสูงถึง 2.138 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการใช้จ่ายดังกล่าวมาจากการลดภาษี “คนรวย” (นักวิจารณ์มักจะเรียกอย่างนี้เพราะว่า เป็นการลดภาษีให้บริษัทและคนมีรายได้มาก และถูกหาว่าเป็นการหาเสียงโดยแลกเปลี่ยนกับเงินภาษีที่ลดลง) สูงถึง 29 เปอร์เซ็นต์ อีก 22 เปอร์เซ็นต์มาจากนโยบายทาง “ทหาร” ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์หลัง 11 กันยายน

    หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดของงบประมาณปี 2544 ของสหรัฐอเมริกาแล้วจะพบว่า ส่วนใหญ่จะมาจากงบนโยบายประกันสุขภาพและงบสวัสดิการสังคมรวมกันสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด ค่าใช้จ่ายจำนวนมโหฬารนี้รัฐบาลสหรัฐต้องจ่ายออกไปทุกปี และทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐพุ่งสูงขึ้นมาโดยตลอด นอกจากนั้นยังพบว่ามีการเตรียมงบประมาณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดจากพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐไว้เพียง 6.6 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีโอกาสเป็นหนี้มากขึ้นทุกปี และยังดูไม่ออกว่าสหรัฐจะมีปัญญาใช้คืนหนี้…แม้แต่ดอลลาร์เดียว…ในระยะเวลาอันใกล้นี้

    เปรียบเทียบหนี้สาธารณะและงบประมาณปี 2554 สหรัฐอเมริกา-ไทย
    ปี 2554 สหรัฐอเมริกา ไทย
    หนี้สาธารณะ (ล้านล้านดอลลาร์) 14.32 0.142
    หนี้สาธารณะต่อ GDP 98% 41%
    งบค่ารักษาพยาบาล/งบประมาณ 21% 10%
    งบสวัสดิการสังคม/งบประมาณ 19% 2.30%
    ตัวเลขขาดดุล/งบประมาณ ขาดดุล 33% ขาดดุล 20%

    ที่มา: http://www.gpoaccess.gov/usbudget/fy11/pdf/summary.pdf และ
    http://www.tdw.polsci.chula.ac.th

    ย้อนดู…ตัวเอง ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะนับจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 จำนวน 4.246 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.28 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ประเทศไทยที่ประมาณ 10.287 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบกับการเป็นหนี้ของสหรัฐซึ่งอยูที่ 98 เปอร์เซ็นต์ของ GDP แล้ว ถือว่าหนี้สาธารณะของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่หากย้อนดูประวัติการเป็นหนี้สาธารณะของประเทศไทยแล้วกลับพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยตลอด นอกจากนั้นแล้วตัวเลขทางด้านค่ารักษาพยาบาลและสวัสดิการสังคมของไทยรวมกันแล้วอยู่ที่ประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด ก็ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับของสหรัฐที่ 40 เปอร์เซ็นต์

    แต่ประเทศไทยไม่ใช่สหรัฐอเมริกา…ที่สามารถออกพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำและคนทั่วโลกแย่งกันซื้อ ประเทศไทยไม่ใช่สหรัฐอเมริกา…ที่สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาเท่าไรก็ได้โดยไม่ต้องใช้ทองคำหนุนหลัง (ปี 1971 ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐ ได้ออกมาประกาศยกเลิกการใช้ทองคำหนุนหลังธนบัตร) ดังนั้นประเทศไทยควรจะสังวรตัวเอง…ไม่ให้สร้างค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น และทำให้หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นอยู่ตลอด…โดยยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์…ว่าจะลดหนี้ดังกล่าวได้อย่างไร

    แนวโน้มการชำระหนี้สาธารณะของประเทศไทย สามารถสังเกตได้จากการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำ พ.ศ.2554 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2553 พบว่า ไทยมีหนี้สาธารณะในขณะนั้นอยู่เพียง 2.7 ล้านล้านบาท และมีการวางแผนในการใช้คืนประมาณปีละ 3.7 หมื่นล้านบาท หากทุกอย่างเป็นไปตามนี้ นั่นหมายถึง ประเทศไทยต้องใช้ระยะเวลาชำระหนี้คืน 32 ปีแบบไม่มีการกู้ใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ยาก เนื่องจากยอดหนี้เพิ่มตลอดนับตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา

    ในขณะนี้พรรคการเมืองหลายพรรคที่กำลังหาเสียงกันอยู่มักจะชอบใช้นโยบายประชานิยมอย่างสุดโต่ง แต่นโยบายดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบ “ขาดดุล” อย่างมโหฬาร แปลว่า หนี้สาธารณะของประเทศไทยจะต้องเพิ่มขึ้น ….แปลอีกต่อหนึ่งได้ว่า…. เรากำลังจะยืมเงินอนาคตของลูกหลานของเรามาใช้ก่อน… เรากำลังบอกว่า “ลูกหลานเราลำบาก….ก็ช่างมัน ขอให้เรา…สบายก่อนก็แล้วกัน… ใช่อย่างนั้นหรือเปล่า ??? “

    ถ้าไม่ใช่….อย่างนั้น ทุกพรรคการเมืองที่หาเสียงกันอยู่ ควรจะกล้าประกาศออกมาว่า พรรคของเขาจะดำเนินนโยบายประชานิยมที่ตัวเองผลักดันอย่างสุดโต่ง ภายใต้งบประมาณแบบ “เกินดุล” หรือ “สมดุล” เท่านั้น …..และจะไม่ต้องไม่มีคำว่า “งบประมาณขาดดุล”…..

    ทำให้นึกถึงคำพูดของพระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่ 2 ที่ว่า “The future starts today, not tomorrow.” แปลตามความได้ว่า “อนาคตเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้.. ไม่ใช่วันพรุ่งนี้” ดังนั้นผู้นำในรัฐบาลใหม่ก็ควรจะบริหารประเทศด้วยเงินรายได้ที่ท่านหามาได้ในวันนี้ อย่าไปนำเงินในวันพรุ่งนี้มาปรนเปรอประชาชนตามนโยบายประชานิยมที่ท่านสัญญาไว้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ลูกหลานเราในอนาคต…ก็อาจจะมีสภาพเหมือนเด็กๆในประเทศกรีซในวันนี้…ก็เป็นได้

    พิมพ์หน้านี้

    ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์

    5,359 views  1,285 Comments

    Posted Under โพสต์ทูเดย์

    No Comments Yet

    You can be the first to comment!

    Sorry, comments for this entry are closed at this time.

      • 10 อันดับ
      • Facebook
      • Twitter

      บทความที่โพสต์ขึ้นเฟสบุ๊ค เมื่อคืนนี้เอาขึ้นเว็บแล้วนะครับสนใจคลิกที่... http://t.co/ylMslUNy

      follow me on
      twitter

    •  
    • Subscribe Email


       

    • Polls Sorry, there are no polls available at the moment.
    • Tag Cloud
      CSR GDP IMF กรีซ การลงทุน ครัวโลก ความรู้นักลงทุน ความเป็นอิสระทางการเิงิน คอร์รัปชัน ค่าแรง ตาน ฉ่วย ทองคำ ธนินทร์ เจียรวนนท์ น้ำท่วม 2554 บัตรเครดิต ประชาธิปไตย พม่า พื้นที่ทับซ้อน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยุโรป วิกฤตซับไพรม์ วิธีบริหารกองทุน วีรพงษ์ ชุติภัทร์ สหรัฐอเมริกา หนองหว้า หนี้สาธารณะ หมู่บ้านเกษตรกรรม หมู่เกาะสแปรตลีย์ หุ้น หุ้นแอปเปิ้ล หุ้นโกดัก อาเซียน อิสรภาพทางการเงิน อเมริกา เจริญโภคภัณฑ์ เจริญโภคภัณฑ์อาหาร เผด็จการ เล่นหุ้น เศรษฐกิจไทย แมคอินทอช แอปเปิ้ล โกดัก โซเวียต ไอเอ็มเอฟ ไอแพด 2
    • สถิติบล็อก
      • 2485029เข้ามาอ่านทั้งหมด:

    This site is using the Handgloves WordPress Theme
    Designed & Developed by George Wiscombe

    Subscribe via RSS