13 มิถุนายน 2555
2,022 views
ผมคิดไม่ออกว่า “กรีซ…. จะรอดได้ยังไง ?”
คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย
ผมคิดไม่ออกว่า “กรีซ…. จะรอดได้ยังไง ?”
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.facebook.com/doctorweraphong
เมื่อเร็วๆนี้ มีการเปิดเผยตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวของกรีซ ซึ่งพบว่าออกมาลดลงจากเดิมกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ และนับเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของกรีซเข้าไปอีก ทำให้นึกถึงประเทศไทย เมื่อตอนที่พวกเราต้องผจญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่ทำให้คนไทยเกือบทั้งประเทศต้องดำเนินชีวิตอย่างยากลำบากในช่วงเวลานั้น แต่ผมเองก็ยังมองว่า คนไทยในเวลานั้นก็ยังโชคดีกว่าคนกรีซในเวลานี้..อยู่หลายประการ ดังนี้ครับ
หนึ่ง กระบวนการขนเงินออกนอกประเทศ
หลังจาก ไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ก็ทำให้ค่าเงินบาทลดค่าลงมาเรื่อยๆ จาก 25 บาทต่อดอลลาร์ มาสูงกว่า 55 บาทต่อดอลลาร์ โชคดีที่เมืองไทยไม่เกิดภาวะ Bank Run หรือ ภาวะที่ผู้คนถล่มถอนเงินออกจากธนาคารในเวลาพร้อมๆกัน สาเหตุที่ไม่เกิดอาจเป็นเพราะ คนไทยหลายคนคิดว่า อย่างมากอัตราแลกเปลี่ยนอาจไปถึง 30 บาท หรือ 35 บาทต่อดอลลาร์เท่านั้น หรือไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี? เพราะไม่เคยประสบปัญหาเช่นนี้มาก่อน แต่ในที่สุดอัตราแลกเปลี่ยนก็วิ่งไปมากกว่า 55 บาทต่อดอลลาร์ และทำให้คนไทยมากกว่าครึ่งประเทศอยู่ในสถานะ “ไม่มี…. ไม่หนี… ไม่จ่าย”
ส่วนคนกรีซที่ใช้เงินยูโรอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่คนกรีซกลัวมากที่สุด คือ วันพรุ่งนี้ถอนเงินออกมาจะไม่ได้เป็นเงินยูโร …แต่ได้เป็นเงินกรีซแทน ดังนั้นจึงมีการถอนเงินและโยกเงินไปฝากต่างประเทศจำนวนมหาศาล ซ้ำเติมวิกฤตการณ์ในขณะนี้เข้าไปอีก
สอง ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล
จำได้ไหมครับว่า หลังจากรัฐบาลนายกฯ ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และลงจากตำแหน่งไป รัฐบาลนายกฯ ชวน ก็ขึ้นมาบริหารประเทศแทน ผมเองไม่แน่ใจว่า รัฐบาลชุดนั้นเก่งหรือเปล่า? แต่ที่แน่ๆ รัฐบาลนายกฯ ชวน ยังได้รับความไว้วางใจจากคนไทยในเวลานั้นอยู่ในระดับหนึ่ง รัฐบาลยังสามารถกำหนดกรอบกติกา และเซ็น MOU กับ ไอเอ็มเอฟ ที่คนไทยทั้งประเทศไม่ต้องการ …แต่ต้องทำ
ขณะที่กรีซ เวลานี้มีพรรคใหญ่ 3 พรรคคือ พรรค PASOK พรรค ND และพรรค SYRIZA ทั้ง 3 พรรค คุยกันไม่รู้เรื่อง และจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีพรรคไหนได้เสียงเด็ดขาดเกินครึ่งหนึ่ง และนโยบายแต่ละพรรคก็สุดขั้วคือ “ต่างคน… ต่างเดิน… ไม่มีทางสายกลาง” (อ่านประวัติพรรคการเมืองกรีซได้ใน “กรีซ ประเทศฉิบหาย…ช่างมัน ขอให้ข้า…ชนะก่อน” ในโพสต์ทูเดย์ หรือที่ http://www.doctorwe.com/posttoday/20110707/173)
สาม หลังวิกฤต การส่งออกไทย…เป็นพระเอก แต่กรีซ..ไม่ใช่
พอจำกันได้ไหม ก่อนวิกฤตปี 2540 ประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกสูงมาก พอหลังเกิดวิกฤต ภาคการส่งออกก็อาศัยค่าเงินบาทที่อ่อน ส่งออกสินค้าได้อย่างถล่มทลาย ทำให้มีเม็ดเงินใหม่ๆเข้ามาในตลาด รัฐบาลก็พลอยได้รับอานิสงส์จากการเก็บภาษีจากการส่งออกอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ส่วนกรีซนั้น แม้ว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือไปจากไอเอ็มเอฟ และกลุ่มยูโรโซนไปจำนวนมากแล้ว แต่เงินส่วนใหญ่ก็ต้องนำไปชำระการไถ่ถอนพันธบัตรกรีซที่ครบกำหนดเกือบทั้งหมด ทำให้รัฐบาลกรีซเหลือเงินเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศเพียงน้อยนิด และไม่ได้มีเงินภาษีจากการส่งออกเหมือนเมืองไทยในปี 2540
สี่ “การท่องเที่ยว” คือ เส้นเลือดที่จะทำให้กรีซฟื้นคืนชีพ …..จริงหรือ ?
ด้านอุตสาหกรรม กรีซมีชื่อเสียงอยู่ 3 เรื่องคือ การท่องเที่ยว การเดินเรือ และอุตสาหกรรมการผลิต การเดินเรือและโรงงานผลิตสินค้าที่ผ่านมามักจะถูกบริษัทอื่นจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาครอบงำกิจการไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า หัวใจของกรีซจึงอยู่ที่ “การท่องเที่ยว” เท่านั้น
แต่ด้วยมาตรการรัดเข็มขัดที่รุนแรง ก็ทำให้คนกรีซออกมาประท้วงทั่วกรุงเอเธนส์ นักท่องเที่ยวไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์…พิพิธภัณฑ์ก็ปิด นักท่องเที่ยวไปเที่ยวชายหาด…เรือที่จะพาไปก็หยุดงานประท้วง นักท่องเที่ยวจะกลับบ้าน…เจ้าหน้าที่สนามบินก็สไตรค์ กลับบ้าน..ไม่ได้ !!
ปัจจุบันพบว่า การบินไทยปิดสำนักงานที่กรีซไปแล้ว ตามมาด้วยสิงคโปร์แอร์ไลน์ และอีกหลายสายการบิน เมื่อไม่มีเครื่องบินพานักท่องเที่ยวไป แล้วนักท่องเที่ยวจะไปกันอย่างไรล่ะ ?
ร้านหลุยส์ วิตตอง ในกรุงเอเธนส์ปิดไปแล้ว ตามมาด้วยร้านขายของหรูๆจะปิดร้านตามๆมา คุณผู้อ่านคงรู้คำตอบแล้วว่าร้านเหล่านี้ ทำไมถึงปิด ? นั่นเป็นเพราะ จำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลง..น้อยลง
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว คนกรีซควรจะเลิกประท้วง ดีไหม ? บรรดาคนกรีซที่ประท้วงกัน ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย ข้าราชการที่ต้องออกจากงาน คนแก่ที่ถูกตัดเงินสวัสดิการ และคนงานที่ถูกลดค่าจ้างแรงงาน ทุกคนก็ต่างพากันร้องตะโกนกันว่า “กู….. ไม่แคร์”
ถ้าคนกรีซได้มีโอกาสมาเที่ยวเมืองไทย โดยเฉพาะตอนที่เมืองไทยจัดงาน “มหกรรมกีฬาสี แห่งชาติ” ซึ่งเป็นกีฬาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ต้องการดู มีมหกรรม แสง สี เสียง ตระการตา และจัดต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่สนามบินในกรุงเทพฯ นอกจากนั้นยังมีไปจัดที่ใจกลางย่านท่องเที่ยวของกรุงเทพฯอีกด้วย และเราไม่ได้จัดกันแค่ช่วงเย็นถึงค่ำเหมือนคอนเสิร์ตของ เลดี้ กาก้า แต่เราจัดงานกันให้มันมีตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดสัปดาห์ และบางครั้งก็เป็นเดือนๆ
ถ้าคนกรีซได้เห็นว่า จริงๆแล้ว..มันเกิดอะไรขึ้น? คำว่า “กู…ไม่แคร์” ที่ดังกึกก้องทั่วกรุงเอเธนส์อยู่ในขณะนี้ ก็คงจะเสียงเบาลงมา พร้อมๆกับ การเกิดความรู้สึกใหม่ในใจที่มันพูดว่า “ประเทศ..กู จะไม่รอด ก็เพราะ กู…นี่เอง”
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
No Comments Yet
You can be the first to comment!
Sorry, comments for this entry are closed at this time.