12 กันยายน 2555
4,257 views
เบน เบอร์นันเก้ อาจตาย…เพราะ “ไม้ตาย”
คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย
เบน เบอร์นันเก้ อาจตาย…เพราะ “ไม้ตาย”
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.facebook.com/doctorweraphong
มาตรการผ่อนคลายทางการเงินครั้งที่ 3 (Quantaitaive Easing 3 –QE3) ที่นักลงทุนหลายคนเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่า เมื่อไรจะมีมาตรการนี้ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจของโลกอีกครั้งหนึ่ง โดยมีสาเหตุมาจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินครั้งที่ 1 และ 2 (QE1, QE2) ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับสูงขึ้นโดยถ้วนหน้า รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทอง น้ำมัน สินค้าการเกษตร ต่างก็พลอยได้รับอานิสงส์ราคาเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน จึงทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างเฝ้าคอยเพื่อหวังจะแสวงหากำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำจากราคาที่เพิ่มขึ้น
เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve) ผู้มีอำนาจในการออกมาตรการดังกล่าว เขาเองมักจะทำท่ากลับไปกลับมาว่าจะออกมาตรการดังกล่าวดีหรือไม่ จนนักลงทุนและตลาดหุ้นทั่วโลกออกอาการสิ้นหวัง และคิดว่ามาตรการดังกล่าวคงไม่ได้ออกมาแน่ แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เบอร์นันเก้ได้ออกมากล่าวถึงการออกมาตรการ QE3 อย่างจริงจัง เบอร์นันเก้ได้พูดถึงว่า…“เศรษฐกิจได้กลับมาซบเซาอีกครั้งหนึ่งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหน้าที่ของเฟด.. ที่จะต้องทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวใหม่” และหนึ่งในนั้นที่เฟดจะทำก็คือ การออกมาตรการ QE3 ซึ่งถือได้ว่า QE3 เป็น “ไม้ตาย” ของ เบน เบอร์นันเก้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และคาดว่าจะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านตำแหน่ง หลังคำปราศรัยของ เบอร์นันเก้ ส่งผลทันทีให้ราคาทองคำในบ้านเราพุ่งขึ้นในวันเดียวถึง 300 บาท (2 กันยายน 2555)
ฟังแล้ว… ดูเหมือนว่า จะมีแต่ “ข่าวดี” เต็มไปหมด แต่นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันนามว่า อีธาน แฮริส กลับออกมาพูดว่า แม้ว่าเฟดจะพยายามออกมาตรการใดๆในเวลานี้ออกมาก็ตาม ก็ไม่สามารถช่วยเศรษฐกิจในเวลานี้ให้ฟื้นขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลดังนี้ครับ
หนึ่ง ปัญหา “หน้าผาแห่งการคลัง” (Fiscal Cliff)
ผมเคยอธิบายถึง Fiscal Cliff ไว้ว่า มันคือช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอเมริกาอาจกลับมาซบเซาอีกครั้งหนึ่ง จากปัญหาที่มาตรการลดภาษีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะหมดอายุพร้อมๆกันในสิ้นปีนี้ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.doctorwe.com/variety/20120902/3132 ) ดังนั้นเศรษฐกิจของอเมริกาก็คงจะดีขึ้นยาก
มีนักลงทุนหลายรายคิดว่า หลังการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีคนใหม่กับสภาคองเกรส คงช่วยกันรีบออกนโยบาย “ขยายเวลา” มาตรการลดภาษีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คาดว่ามันจะสายไปเกินไป เนื่องจากบรรดานักลงทุนจะชะลอการลงทุนทั้งหมดไว้ก่อน จนกว่าจะได้เห็นภาพการแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ที่ชัดเจนหลังเลือกตั้งอเมริกา
สอง อนาคต…อเมริกา จะมีเงินกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง
มิตต์ รอมนี่ย์ คู่แข่งในการเลือกตั้งของประธานาธิบดีโอบามา ได้เลือกนายพอล ไรอัน ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านงบประมาณ และคาดว่าพรรครีพับลีกันจะตัดงบประมาณค่าใช้จ่ายและเพิ่มภาษีเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ ดังนั้นถ้าพรรคนี้ชนะ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆก็คง…คงจะไม่ได้โผล่หัวออกมาแน่!
แต่ถ้าประธานาธิบดีโอบามา..เกิดชนะขึ้นมา การที่จะหวังว่ามาตรการต่างๆที่เป็นอยู่ตอนนี้ จะได้ต่ออายุทั้งหมดนั้น บางส่วนก็อาจต้องเป็น “ความฝัน” ไป เพราะ พรรครีพับลิกันคงไม่ยอมอย่างแน่นอน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็คง…. “เหลือแค่บางตัว” เท่านั้น
สาม มาตรการที่ “แสนสับสน” ของเฟด (ธนาคารกลางอเมริกา)
เบน เบอร์นันเก้ ต้องการให้ “อัตราดอกเบี้ยต่ำๆ” เพื่อที่จะให้ภาคเอกชนอยากลงทุนมากๆ เพราะต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ จึงพยายามเสนอมาตรการลดดอกเบี้ยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า รวมถึงที่ปราศรัยออกไปล่าสุด คาดว่าจะลดให้เหลือเพียง 1.65 %
แต่ในความเป็นจริง เฟดก็ไปลด Net Interest Margin หรือที่เราเรียกว่า สเปรด (Spread) หรือส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยลงไปด้วย เช่น สมมุติว่าธนาคารกู้มา 2% แต่เฟดบังคับให้ปล่อยกู้ที่ 6% แสดงว่า ธนาคารจะได้กำไรแค่ 4% หักค่าใช้จ่ายพนักงาน ออฟฟิส อื่นๆ รวมทั้ง “ค่าถูกเบี้ยวหนี้” แล้ว ธนาคาร ก็บอกว่า “ขาดทุน….ทำไม่ได้” ทุกวันนี้ในอเมริกาก็เหมือนกัน เฟดไปกดดันธนาคารให้เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำๆ เพื่อให้เอกชนจะได้ต้นทุนต่ำๆจะได้อยากลงทุน ธนาคารก็เลยดึงเรื่องให้ช้าๆ เพราะยิ่งปล่อยกู้ไป…ก็ยิ่งขาดทุน ธนาคารคงคิดว่า “ข้า..อยู่เฉยๆดีกว่า ..ไม่ขาดทุน..ไม่เจ็บตัว”
สี่ QE3 จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ…ได้จริงหรือ ?
คำกล่าวปราศรัยของเบอร์นันเก้ ที่เชื่อมั่นกับผลสำเร็จของมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ที่ผ่านมา ว่าสามารถทำให้ตลาดหุ้นพุ่งกระฉูด ประชาชนมีความเชื่อมั่นและ “มีเงิน” และก็อยาก “ใช้เงิน” นั้น ในเวลานี้ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ดัชนี S&P 500 มีค่า “ราคาต่อกำไร” (P/E ratio) อยู่ที่ 17 เท่าแล้ว คนที่เล่นหุ้นอยู่คงรู้ดีว่ามันสูงแค่ 15 เท่า ตลาดก็มี “ภาวะเก็งกำไร” สูงแล้ว แต่ตอนนี้มันสูงตั้ง 17 เท่า ตลาดหุ้นจะ “พุ่งขึ้นไปได้อีกเท่าไร?” กัน
เบน เบอร์นันเก้ อาจจะลืมไปว่า ตอนนี้ไม่ใช่ปี 2551 ในปีนั้นเลห์แมน บราเดอร์สล้มละลายไป และ P/E ของตลาดหุ้นตอนนั้นบางช่วงต่ำกว่า 10 เท่าเสียอีก เมื่อออก QE ออกมาจึงทำให้ตลาดหุ้นพุ่ง ส่วนปีนี้ถ้าออกมาตรการ QE3 ออกมาแล้ว ตลาดหุ้นจึงพุ่งกระฉูดขึ้นได้จริงหรือ?
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ…. ถ้าเฟดออกมาตรการ QE3 ออกมาแล้ว…
ปรากฏว่า ไม่ได้ผล… ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นนิดหน่อย…
แต่ผู้คน.. “ยังไม่กล้าใช้เงิน”
ผู้คน.. “ยังตกงานบานเบอะ”
และเศรษฐกิจก็ยังคง.. “ไม่ยอมโผล่หัวพ้นน้ำ”
ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณเบน..อาจตาย เพราะ “ไม้ตาย” ของตน ก็เป็นได้
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
No Comments Yet
You can be the first to comment!
Leave a comment