12 มีนาคม 2556
10,591 views
ฝรั่ง..กลัว แต่คนไทย..ไม่กลัว
คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย
ฝรั่ง..กลัว แต่คนไทย..ไม่กลัว
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.facebook.com/doctorweraphong
ผมได้อ่านบทความหนึ่งที่มีชื่อว่า “Thai Bulls Beat Bears Selling Most in Asia as Stocks Rally” ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ที่ได้พูดถึงความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยและแนวโน้มในอนาคต ซึ่งน่าจะมีประโยชน์โดยเฉพาะต่อคุณผู้อ่านที่เป็นนักลงทุน จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดให้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน โดยนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่ายๆดังนี้ครับ
หนึ่ง ปี 2540 คนไทย..ยังต้องพึ่งฝรั่งอยู่
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 พบว่า ก่อนหน้าวิกฤต 12 เดือน นักลงทุนต่างชาติได้ถอนเงินลงทุนออกจากตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยสูงถึง 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60% ของจำนวนเงินลงทุนที่นักลงทุนต่างชาตินำเข้ามา ในช่วงเดียวกันพบว่า ต่างชาติได้ถอนเงินลงทุนออกจากทั้งภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ออกไปเพียง 16% เท่านั้น การที่นักลงทุนนำเงินลงทุนออกอย่างหนักหน่วงจากประเทศไทยเพียงประเทศเดียว ก็ทำให้สภาพคล่องแทบจะเหือดหายไปจากเศรษฐกิจของประเทศไทยเลย จนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในที่สุด
จากตัวเลขข้างต้น คุณผู้อ่านก็คงพอจะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2540 นั้น ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติเป็นอย่างมาก พอนักลงทุนเหล่านี้แห่กันถอนเงินลงทุนออกไป ก็ทำให้เศรษฐกิจของไทยแทบจะหยุดชะงักงันไปเลยทีเดียว
สอง เมื่อคนไทย..เริ่มเสียงดังขึ้น
จากตัวเลขที่เปิดเผยโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กพบว่า เมื่อห้าปีก่อน นักลงทุนประเภทสถาบันภายในประเทศและนักลงทุนรายย่อยมีปริมาณเงินลงทุนคิดเป็น 61% ของปริมาณเงินลงทุนทั้งหมด แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าปริมาณเงินดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 73% ของปริมาณเงินทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการลงทุนของคนไทยในประเทศ..ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น จำนวนเงินของการซื้อขายหุ้นโดยเฉลี่ยต่อวันในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเท่าตัวโดยเพิ่มขึ้นไปถึง 135% ของช่วงเวลาเดียวกันหนึ่งปีก่อนหน้านั้น หากเรามองกันง่ายๆ ตัวเลขทั้งสองตัวกำลังบอกเราว่า คนไทย..มีเงินมากขึ้น คนไทย..กล้าลงทุนมากขึ้น และ คนไทย..ก็พึ่งพาต่างชาติน้อยลง
สาม ฝรั่ง..กลัว แต่คนไทย..ไม่กลัว
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพบว่า บรรดากองทุนต่างๆจากต่างประเทศอาจมีความรู้สึกว่า ราคาหุ้นในเมืองไทยเริ่มแพงไปแล้ว จึงได้ทยอยเทขายออกมาสูงถึงเกือบ 18,000 ล้านบาท จนประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกมาสูงที่สุดในบรรดา 10 ตลาดหุ้นในเอเชีย นอกจากนั้นยังทำให้มีเงินไหลออกสุทธิต่อเดือนจากประเทศไทยทะลุสูงกว่า 15,000 ล้านบาทต่อเดือนอีกด้วย
แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ ในช่วงเวลาเดียวกันกลับพบว่า มีแรงซื้อจากนักลงทุนภายในประเทศทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเข้ามาสูงกว่า 18,000 ล้านบาท จนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET เพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 4.6% แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปของคนไทยที่มีต่อตลาดหุ้น ในอดีตนักลงทุนหลายๆคนอาจเคยมีความคิดว่า “ให้ซื้อ..ตอนที่ฝรั่งซื้อ ให้ขาย..ตอนที่ฝรั่งขาย” แต่ดูเหมือนว่าความคิดนี้จะใช้ไม่ได้กับ..คนไทยอีกต่อไปแล้ว
สี่ สถาบันต่างชาติต่างก็ “สับสน” ต่อแนวโน้มของตลาดหุ้นไทย
บริษัทวาณิชธนกิจระดับโลกอย่าง มอร์แกน สแตนเลย์ ได้แนะนำให้ลูกค้าย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นไทย เนื่องจากราคาหุ้นในตลาดเมืองไทยแพงเกินไปแล้ว ในขณะเดียวกัน สถาบันการเงินระดับโลกอีกหลายแห่ง เช่น อเบอร์ดีน แอสเซ็ท แมนเนจเมนท์ หรือ ไอเอ็นจี อินเวสต์เมนท์ แมนเนจเมนท์ กลับยังคงเชียร์ลูกค้าให้ลงทุนต่อในตลาดหุ้นเมืองไทย และยังประมาณการต่อไปด้วยว่า อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจากตลาดหุ้นไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้า น่าจะสูงถึง 22% ทีเดียว
มุมมองของอเบอร์ดีนที่มีต่อตลาดหุ้นไทยอาจนับได้ว่าดีมาก โดยมองว่าอนาคตของเศรษฐกิจไทยและความสามารถในการหารายได้ของบริษัทในตลาดหุ้นไทยยังคงแข็งแกร่งมาก ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาได้อีก
ห้า อนาคตของเศรษฐกิจไทย..ในระยะยาว
หากจะมองอนาคตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวแล้ว น่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการด้วยกันคือ ข้อแรก..การใช้จ่ายงบประมาณสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค และอีกข้อหนึ่ง..ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติ
ปัจจุบันรัฐบาลไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนและสินค้าจำนวนเงินสูงถึง 2 ล้านล้านบาทไปแล้ว แต่เม็ดเงินดังกล่าวยังแค่เพิ่งจะเริ่มต้นใช้เอง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เงินจำนวนมหาศาลจะเริ่มไหลเข้ามาสู่ระบบอย่างเต็มสูบ และเมื่อนั้น..เงินจำนวนนี้ก็จะไหลสะพัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอย่างแน่นอน
นอกจากนั้น ในปีที่ผ่านมาก็มีเม็ดเงินจากการลงทุนเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากค่ายรถยนต์ใหญ่ๆไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน เป็นต้น ต่างก็อยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตแทบทั้งสิ้น โดยมีเงินลงทุนรวมกันมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น และได้ทำสถิติใหม่สำหรับเงินลงทุนที่นำเข้ามาในประเทศไทยที่ 1.46 ล้านล้านบาท
จากนี้ไป..จึงดูเหมือนว่า เมื่อใดก็ตามที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก เมื่อนั้นนักลงทุนชาวไทยก็พร้อมที่จะเข้าไปรับ “ซื้อหุ้น..ในราคาถูก” แทบจะทันที
ปัญหาจึงอยู่แต่เพียงว่า..เหตุการณ์เช่นนี้จะอยู่อย่างยั่งยืนจีรังต่อไปได้อีกนานเท่าใด ?
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
No Comments Yet
You can be the first to comment!
Leave a comment