11 เมษายน 2556
1,894 views
กรุงเทพฯ..โตช้า หัวเมือง..โตเร็ว เมกะเทรนด์..ที่มาแน่
คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย
กรุงเทพฯ..โตช้า หัวเมือง..โตเร็ว เมกะเทรนด์..ที่มาแน่
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.facebook.com/doctorweraphong
ผมคิดว่าคุณผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า “Bangkok is Thailand. Thailand is Bangkok.” ซึ่งผมเองเคยได้ยินคำพูดทำนองนี้ซัก 2-3 ครั้งจากเพื่อนชาวต่างชาติที่รู้จักกัน อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า..กรุงเทพฯกำลังจะเปลี่ยนไป และในขณะเดียวกันอีกหลายๆเมืองในประเทศไทยก็กำลังจะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ลักษณะความเป็นเมืองในแต่ละส่วนของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากในช่วงระยะเวลา 5-10 ปีต่อจากนี้ นับจากกรุงเทพฯ ไปถึงบรรดาหัวเมืองต่างๆที่กระจายกันอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ
หนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่ “บรรดาหัวเมือง”..จะโต
โดยปกติแล้วขนาดของประชากรคนเมืองในเขตเมืองต่างๆในประเทศ มักจะเป็นไปตามกฎความสัมพันธ์เชิงประจักษ์ที่เรียกว่า “กฎลำดับขนาด” (rank-size rule) ที่ว่า เมืองที่มีประชากรคนเมืองมากเป็นอันดับที่ 2 จะมีจำนวนประชากรคนเมืองเป็นครึ่งหนึ่งของเมืองที่มีประชากรคนเมืองมากที่สุด เมืองที่มีประชากรคนเมืองมากเป็นอันดับที่ 3 ก็จะมีจำนวนประชากรคนเมืองเป็นครึ่งหนึ่งของเมืองอันดับที่ 2 เช่นกัน และความสัมพันธ์จะเป็นไปในลักษณะนี้ต่อเนื่องกันไป
แต่ในประเทศไทยไทยกลับพบว่า คนจำนวนมหาศาลจะอาศัยอยู่กันแต่ในกรุงเทพฯ ซึ่งได้ทำให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมืองมากที่สุดในประเทศ ส่วนเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมืองมากไม่ว่าจะเป็น นครราชสีมา เชียงใหม่ อุดรธานี พบว่าส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่แต่ในอำเภอเมืองเท่านั้น ซึ่งถือได้ว่ามีจำนวนประชากรคนเมืองที่น้อยมากเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ
ในประเทศอื่นๆในภูมิภาคพบว่า ในเกาหลีใต้ และมาเลเซีย เมืองที่มีประชากรคนเมืองมากเป็นอันดับที่ 2 ของแต่ละประเทศมีขนาดถึง 36% และ 49% ของเมืองอันดับที่ 1 ของแต่ละประเทศตามลำดับ
ดังนั้น ประชากรคนเมืองของบรรดาหัวเมืองต่างๆของไทย จึงน่าจะมีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกมาก นอกจากนั้นการพัฒนาสู่ความเป็นเมืองได้ย้ายออกจากกรุงเทพฯไปสู่บรรดาหัวเมืองไปแล้ว เนื่องจากการที่กรุงเทพฯ เริ่มโตช้าลงเมื่อเทียบกับบรรดาหัวเมืองในจังหวัดอื่นๆ โดยจังหวัดที่มีจำนวนประชากรคนเมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้แก่ นครราชสีมา สงขลา อุบลราชธานี อุดรธานี และชลบุรี เป็นต้น
สอง “ผู้บริโภคในเมือง” อยู่ที่ไหน ?
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ทำการวิจัยพฤติกรรมของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองพบว่า มีกำลังแรงงานทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 38.3 ล้านคน มีเพียง 11.8 ล้านคนที่อยู่อาศัยในเขตเมือง และมีเพียง 3.7 ล้านคนที่เข้าข่ายกลุ่มผู้บริโภคในเมือง นั่นคือเป็นผู้มีรายได้ต่อเดือนสูงกว่า 15,000 บาท และอยู่อาศัยในเขตเมือง โดยมีเพียง 1 ล้านคนที่มีรายได้ต่อเดือนสูงกว่า 35,000 บาท และที่เหลืออีก 2.7 ล้านคนจะมีรายได้อยู่ในระดับ 15,000-35,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนั้น ยังพบต่อไปอีกว่า มีผู้บริโภคในเมืองที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลมีประมาณ 2 ล้านคนคิดเป็นประมาณ 55% หรืออาจกล่าวได้ว่า..มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีรายได้สูงกว่า 15,000 บาทต่อเดือนอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนอีก 1.7 ล้านคนหรือ 45% ของกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวกระจายตัวไปตามเขตเมืองของจังหวัดต่างๆ
สาม การเกิด Urbanization อย่างรวดเร็วในบรรดา “หัวเมือง”
วศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเกิด “สังคมเมือง (Urbanization)” ไว้ว่า ในบรรดาจังหวัดหัวเมืองต่างๆทั่วประเทศไทยได้เกิด Urbanization ขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหลายจะมีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด …
“ตอนนี้ร้านค้าปลีก โมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ทยอยไปเปิดสาขาตามต่างจังหวัดเยอะมาก ส่วนธุรกิจลำดับถัดมาที่จะเติบโตตามไปด้วย เช่น อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ดีลเลอร์รถยนต์ก็จะเข้าไปลงทุนในพื้นที่ที่เกิด Urbanization มากขึ้น จากนั้นสถานศึกษาและโรงเรียนกวดวิชาก็จะเข้าไปตั้งสาขา เป็นโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการสามารถไปลงทุนในธุรกิจเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าธุรกิจจะไปไม่รอด”
สี่ เมื่อ “ภาคอีสาน” เติบโต…มากที่สุด
สิ่งที่เป็นความจริงอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ภาคอีสาน..มีประชากรคนไทยมากที่สุด ภาคอีสาน..มีรายได้ต่อหัวต่ำที่สุด และภาคอีสาน..จะมีจุดเชื่อมต่อกับประเทศอื่นๆในอาเซียนมากที่สุด ผมเองมองว่าแค่เราได้รับรู้ถึงความจริงดังกล่าวทั้ง 3 ข้อ คุณผู้อ่านก็คงพอจะเห็นภาพได้แล้วว่า ภาคอีสาน..ยังจะมีโอกาสที่จะเติบโตด้วยอัตราเร่งหรืออัตราก้าวกระโดดได้อีกมาก
นอกจากนั้น นโยบาย “ค่าแรงวันละ 300 บาท” ของรัฐบาล ก็ได้ทำให้ประชาชนในภาคอีสานได้รับอานิสงส์ไปอย่างมาก โดยมีคนไทยในภาคอีสานที่ไม่ได้ทำงานในท้องถิ่นของตนเป็นจำนวนมาก แต่ไปทำงานกระจัดกระจายไปทั่วประเทศ คนเหล่านี้ก็จะส่งเงินกลับบ้าน…เพื่อไปใช้หนี้ ..เพื่อไปเลี้ยงดูคนที่ตนรัก หรือแม้กระทั่ง..เพื่อไปลงทุนก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เงินเหล่านี้จะไหลหลั่งมาสู่ภาคอีสาน และสิ่งที่จะตามมาก็คือ โอกาสของบรรดากิจการที่จะสามารถรองรับความต้องการอย่างไม่สิ้นสุดของคนในท้องถิ่นของภาคอีสาน
ดังนั้น “โอกาส” อาจกำลังมาเยือนคุณผู้อ่านบางท่านอยู่ก็ได้นะครับ ทำให้นึกถึงคำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรที่ชื่อ เบนจามิน ดิสราเอลี (Benjamin Disraeli) ที่พูดไว้ว่า “One secret of success in life is for a man to be ready for his opportunity when it comes.” แปลตามความได้ว่า “หนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของมนุษย์ก็คือ จงเตรียมตัวให้พร้อมก่อน…ที่โอกาสจะมาถึง”
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
No Comments Yet
You can be the first to comment!
Leave a comment