25 พฤศจิกายน 2556
1,780 views
ที่มาของ “รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน”
คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย
ที่มาของ “รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน”
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.facebook.com/doctorweraphong
ความหมายของ “รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน” นั้นอาจหมายถึง รายได้ที่ไม่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ได้ทุ่มเทความพยายามทั้งสติปัญญา กำลังกาย และกำลังเงิน ในระยะเริ่มแรกเข้าไปแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ต้องเข้าไปทำงานเป็นประจำ เพียงแต่คอยดูแลให้รายได้นั้นๆยังคงหลั่งไหลเข้ามาเท่านั้น
ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจถึง “อิสรภาพทางการเงิน” อย่างแท้จริง ผมจึงอยากขอให้คุณผู้อ่านย้อนกลับมาดู “สมการแห่งความร่ำรวย” ซึ่งสมการที่ว่านั้นก็คือ
(รายได้จากการทำงาน + รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน) – รายจ่าย = เงินออม
สมมุติว่า เวลานี้คุณไม่ต้องการทำงานประจำและไม่อยากมีรายได้จากการทำงานอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นในสมการใหม่นี้รายได้จากการทำงานจะเป็นศูนย์ นั่นคือ
รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน – รายจ่าย = เงินออม
จากสมการนี้ คุณก็จะสามารถแบ่งกรณีที่จะเกิดขึ้นได้ออกเป็น 3 กรณีด้วยกันคือ
กรณีที่หนึ่ง เงินออมต่อเดือน น้อยกว่า…ศูนย์
สมการที่ออกมาก็คือ
รายได้ที่ไม่ต้องทำงานต่อเดือน – รายจ่ายต่อเดือน < 0
นั่นหมายความว่า รายได้ที่ไม่ต้องทำงานต่อเดือนมีค่าน้อยกว่ารายจ่ายต่อเดือน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ในแต่ละเดือนจะมีค่าใช้จ่ายเกินรายได้ ทำให้ต้องนำเงินออมที่เก็บไว้ออกมาใช้ด้วย ซึ่งเป็นสภาพที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง
กรณีที่สอง เงินออมต่อเดือน เท่ากับศูนย์
ทุกเดือนที่ผ่านไป..ไม่มีเงินเหลือไว้ให้เก็บออมเลย สมการที่ออกมาก็คือ
รายได้ที่ไม่ต้องทำงานต่อเดือน – รายจ่ายต่อเดือน = 0
แสดงว่า รายได้ที่ไม่ต้องทำงานต่อเดือนมีจำนวนเงินพอๆกับรายจ่ายต่อเดือน ก็จะทำให้ไม่สามารถมีเงินออมเพิ่มขึ้นได้ กรณีนี้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เจ็บไข้ได้ป่วย หรืออื่นๆก็จะทำให้เงินออมที่เก็บไว้มีแต่แนวโน้มที่จะลดลงได้ในอนาคต
กรณีที่สาม เงินออม มากกว่า…ศูนย์
สมการที่ออกมาก็คือ
รายได้ที่ไม่ต้องทำงานต่อเดือน – รายจ่ายต่อเดือน > 0
สมการนี้… หากคุณทำได้ก็แสดงว่า คุณได้เข้าถึง “อิสรภาพทางการเงิน” แล้ว ทุกเดือนที่ผ่านไป… เมื่อรายได้ที่ไม่ต้องทำงานหักรายจ่ายแล้ว…ยังมีเงินเหลืออีก ซึ่งจะทำให้ “เงินออมทั้งชีวิต” ของคุณเข้มแข็งพอที่จะให้ตัวคุณเองใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย..ไปจนกระทั่งถึงวันที่คุณต้องจากไป
ส่วนสุดท้ายที่เกี่ยวกับ “รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน” ก็คือ ที่มาของรายได้ที่ไม่ต้องทำงาน จะมาจากเครื่องจักรสำคัญด้วยกัน 2 ตัว คือ
- 1. ธุรกิจแบบ “เครื่องพิมพ์แบงก์”
- 2. การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด…ที่สามารถจัดการความเสี่ยงได้
หนึ่ง ธุรกิจแบบ “เครื่องพิมพ์แบงก์”
หากคุณเปิดร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง แล้วไม่มีระบบจัดการที่ดี รวมถึงไม่มีบุคลากรที่ไว้วางใจได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณคงจะต้องเข้าร้านไปขายของเกือบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงเช่นเดียวกัน เพราะกลัวว่าเงินที่ขายของได้อาจจะเกิดการรั่วไหล ร้านที่ว่านี้..อาจจะขายดี แต่อาจจะกลายเป็น “ทุกขลาภ” ที่จะทำให้คุณเครียด..ไม่มีเวลาพักผ่อน..และอาจไม่สบายได้
ผมมีตัวอย่างธุรกิจหนึ่งที่พอแสดงให้เห็นได้ว่ามันเป็น “เครื่องพิมพ์แบงก์” จริงๆนั่นคือ ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนกวดวิชาที่ผมพูดถึงนี้ จะเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่มีการสอนสดและการอัดเทป สิ่งที่อาจต้องเหน็ดเหนื่อยบ้างก็คือ การแสวงหาอาจารย์ยอดฝีมือมาทำการสอน..ท่ามกลางสภาพการแข่งขันที่สูง แต่ถ้าอาจารย์เก่งจริง..ไม่นานก็จะมีนักเรียนมาเข้าแถวสมัครเรียนกันเต็มไปหมด ส่วนเรื่องของระบบการเงิน ในปัจจุบันโรงเรียนกวดวิชาชื่อดังทั้งหลายมักจะใช้วิธีให้ผู้ปกครองหรือนักเรียนไปโอนเงินพร้อมๆกัน เนื่องจากความต้องการที่นั่งเรียนสูงมาก เวลาเปิดให้โอนเงินได้ ก็จะมีผู้คนหลั่งไหลไปตามสาขาธนาคารที่ให้บริการนั้นๆ จากนั้นเม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์ก็จะหลั่งไหลเข้าไปสู่บัญชีของเจ้าของโรงเรียนนั้นๆ…อย่างไม่ตกหล่นแม้แต่เศษสตางค์แดงเดียว
สอง การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด…ที่สามารถจัดการความเสี่ยงได้
สมมุติว่าคุณเกษียณอายุในวันนี้พร้อมด้วยเงิน 10 ล้านบาท และคุณก็นำเงินทั้งหมดไปซื้อล็อตเตอรี ด้วยความหวังว่าจะถูกรางวัล ในที่สุด คุณก็ถูกรางวัลจริงๆ และได้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่า จากเงิน 10 ล้านบาทที่มีอยู่ก็กลายเป็นเงิน 200 ล้านบาท ตัวอย่างนี้ได้แสดงให้เห็นถึง การลงทุนโดยการซื้อล็อตเตอรีดังกล่าวนั้นไม่น่าจะมีโอกาสถูกรางวัลได้มากนัก และมีโอกาสที่จะสูญเสียเงินที่เก็บออมมาทั้งชีวิต 10 ล้านบาท นั่นแสดงให้เห็นว่า การลงทุนในลักษณะนี้เป็น “การลงทุน….ที่ไม่สามารถจัดการความเสี่ยงได้”
ถ้าเป็นเช่นนั้น…ก็เปลี่ยนใหม่ นำเงินไปฝากประจำที่ธนาคาร โดยได้ดอกเบี้ย 3% ได้รับดอกเบี้ยประมาณปีละ 3 แสนบาท หรือตกเดือนละ 25,000 บาท การลงทุนในลักษณะนี้…ความเสี่ยงต่ำมาก แต่ดอกผลที่ได้มาเดือนละ 25,000 บาท ก็ไม่รู้จะเพียงพอต่อการดำรงชีวิตหรือไม่? ลักษณะนี้จึงเป็น
“การลงทุน…ที่สามารถจัดการความเสี่ยงได้…แต่ไม่ดีที่สุด”
แต่ถ้าหากคุณผู้อ่านนำเงินครึ่งหนึ่ง 5 ล้านบาทไปลงทุนซื้อตราสารหนี้บริษัทขนาดใหญ่หรือรัฐวิสาหกิจ และนำเงินอีกครึ่งหนึ่งคือ 5 ล้านบาทที่เหลือไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินดี โดยได้ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนทั้งสองส่วนประมาณ 6% โดยในปีแรกก็จะได้รับผลตอบแทน 600,000 บาท หรือตกเดือนละ 50,000 บาท การลงทุนในลักษณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็น
“การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด…ที่สามารถจัดการความเสี่ยงได้”
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
No Comments Yet
You can be the first to comment!
Leave a comment