9 มกราคม 2557
1,055 views
วิกฤต..การเมืองไทย โอกาส..ตลาดหุ้นไทย ตอนที่ 1
คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย
วิกฤต..การเมืองไทย โอกาส..ตลาดหุ้นไทย ตอนที่ 1
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.facebook.com/DoctorweClub
ผมคิดว่า ในเวลานี้คุณผู้อ่านหลายต่อหลายคนคงมีความรู้สึกที่คล้ายๆกับผมว่า ภายใต้วิกฤตการเมืองไทยที่สับสนวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ คงไม่ค่อยจะมีใครอยากจะลงทุนในตลาดหุ้นซักเท่าไร ตัวผมเองก็แทบจะไม่ได้ลงทุนเช่นเดียวกับคุณผู้อ่าน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผมยังต้องเขียนบทความที่เกี่ยวกับการลงทุนอยู่ ผมจึงหยุดที่จะค้นคว้าหาข้อมูลมาเขียนบทความไม่ได้ ผมจึงเริ่มศึกษาแนวทางการลงทุนในช่วงวิกฤต โดยเปรียบเทียบกับช่วงวิกฤตที่ผ่านๆมา
หลังจากที่ได้ศึกษาแล้ว ก็ทำให้ผมต้องรู้สึกประหลาดใจกับข้อมูลที่ผมพบ ซึ่งผมได้รวบรวมและทำสรุปออกมา และอยากให้คุณผู้อ่านที่เป็นและไม่เป็นนักลงทุนได้อ่านกันซักหน่อย บทความนี้จะเป็นบทความที่ชี้ให้เห็นถึง “โอกาส” ในตลาดหุ้นไทย…ในยามวิกฤตการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ครับ
หนึ่ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะฟื้นกลับมาระดับเดิม ส่วนใหญ่มักจะกินเวลาไม่ถึงปี
ก่อนอื่นผมอยากพาคุณผู้อ่านกลับไปดูเหตุการณ์ทางการเมืองในบ้านเราที่เข้าขั้นวิกฤตหลายต่อหลายครั้งเสียก่อน เริ่มจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคมของปีนั้น ก่อนหน้าเหตุการณ์พบว่า ดัชนีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2535 อยู่ที่ 832.39 จุด พอถึงวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งอยู่ในช่วงพฤษภาทมิฬ ดัชนีก็ตกลงมาเหลือเพียง 667.84 จุด คิดเป็นลดลงเกือบ 20% พอมาถึงวันที่ 18 กันยายนในปีเดียวกัน ดัชนีก็ทะยานขึ้นกลับมาบริเวณเดิมที่ 835.45 จุด ซึ่งคิดเป็นเวลาทั้งหมดเพียง 5 เดือน ดัชนีก็กลับมายืนในบริเวณจุดเดิมได้ นอกจากนั้นช่วงสิ้นปีดัชนียังทะยานขึ้นต่อไปอีก โดยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2535 ดัชนีพุ่งไปถึง 963.03 จุด
เหตุการณ์สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง เหตุการณ์โรงแรมรอยัลคลิฟ และเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย ทั้ง 3 เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันและเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ต่อเนื่องที่กินระยะเวลายาวนานที่สุด เริ่มต้นเราไปดูดัชนีก่อนเกิดวิกฤตซึ่งพบว่า เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2551 ดัชนีอยู่ที่ 709.35 จุด พอเหตุการณ์สนามบินเกิดขึ้น ดัชนีก็ร่วงลงอย่างรุนแรงลงมาเรื่อยๆจนวันที่ 24 พฤศจิกายนของปีนั้น ดัชนีมาอยู่ที่ 386.12 จุด หรือคิดเป็นลดลงเกือบ 46% หลังจากเหตุการณ์ที่สนามบิน ดัชนีก็เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้าง โดยวันที่ 5 มกราคม 2552 ดัชนีไปปิดที่ 478.69 จุด แต่สถานการณ์ทางการเมืองก็ยังไม่ดีขึ้น จนถึงวันที่ 11 เมษายน 2552 ก็มีเหตุการณ์ที่โรงแรมรอยัลคลิฟ และตามมาด้วยเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยในวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มคลี่คลายลงในวันจันทร์ที่ 13 เมษายนของปีนั้น เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ตลาดหุ้นจึงปิดทำการตลอด และเริ่มมาเปิดในวันที่ 16 เมษายน โดยตลาดมาปิดที่ 452.97 จุด หลังจากนั้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ จึงทำให้ดัชนีค่อยๆทะยานขึ้นโดยตลอด และพอมาถึงวันที่ 11 กันยายน 2552 ดัชนีก็มาปิดที่ 707.81 จุด ซึ่งเป็นระดับพอๆกับก่อนเกิดวิกฤต โดยกินระยะเวลาทั้งสิ้นยาวนานถึง 13 เดือน และดัชนีตลาดหุ้นผันผวนขึ้นลงสูงถึง 46%
เหตุการณ์ที่ราชประสงค์ เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553 เหตุการณ์ครั้งนี้นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมากและมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นบ้านเราตกลงไปมากนัก ซึ่งอาจมีเหตุผลหลักมาจากตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้นหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 โดยตลาดหุ้นไทยก่อนเกิดความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ดัชนีตลาดปิดที่ 812.63 จุด หลังจากนั้นดัชนีก็เริ่มลดน้อยถอยลงและมาถึงจุดต่ำที่สุดในช่วงนี้ที่ 721.29 จุด เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ของปีนั้น หลังเหตุการณ์ความรุนแรงผ่านไปแล้วเพียงสัปดาห์เดียว หรือคิดเป็นลดลงประมาณ 11% พอมาถึงวันที่ 6 กรกฎาคม ดัชนีก็ดีดกลับมาอยู่ในระดับก่อนวิกฤตโดยปิดที่ 815.52 จุด ซึ่งกินเวลาเพียง 3 เดือน ดัชนีตลาดหุ้นก็ดีดตัวกลับมาอยู่ที่เดิม
หลังจากนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องและมาปิดที่จุดสูงสุดของปี 2553 ที่ 1,049.79 จุด เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 คิดเป็นเพิ่มขึ้นประมาณ 46% จากระดับดัชนีในช่วงวิกฤตของปีนั้น โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ที่ราชประสงค์นี้มีผลทางลบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย..ในระดับที่น้อยมาก
คุณผู้อ่านคงพอเห็นภาพบ้างแล้วนะครับว่า วิกฤตการเมืองในเมืองไทย เท่าที่ผ่านมามักจะกินเวลาถึงปี ดังนั้นหากข้อมูลในอดีตยังพอใช้ได้ วิกฤตการเมืองในครั้งนี้..ผมก็ขอให้จบลงในเร็ววันเหมือนเหตุการณ์วิกฤตในอดีต บทความเรื่อง “วิกฤต..การเมืองไทย โอกาส..ตลาดหุ้นไทย” มีอยู่ด้วยกัน 2 ตอน ในตอนจบผมจะพาคุณผู้อ่านไปดูเรื่องของความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย และโอกาสในการทำกำไรในหุ้นบางกลุ่ม พบกับตอนจบได้ในโพสต์ทูเดย์เร็วๆนี้นะครับ : )
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
No Comments Yet
You can be the first to comment!
Leave a comment