7 ตุลาคม 2558
924 views
เฟดขึ้นดอกเบี้ย ทำไม? เมื่อไร? ผลต่อไทย? ตอนจบ
คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย
เฟดขึ้นดอกเบี้ย ทำไม? เมื่อไร? ผลต่อไทย? ตอนจบ
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
เมื่อวานนี้…. เราคุยกันไปแล้วถึงเรื่อง “ทำไม? เฟดต้องขึ้น…อัตราดอกเบี้ย” และ “เมื่อไร? เฟดจะขึ้น…อัตราดอกเบี้ย” วันนี้จะขอคุยกันต่อเลยนะครับ
“เมื่อไร? เฟดจะขึ้น…อัตราดอกเบี้ย” (ต่อ)
การที่ดัชนีดาวโจนส์ตกลงมามากกว่า 10% ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ข่มขวัญคณะกรรมการของเฟดเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องกลับมาคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน หากเกิดพลาดพลั้งขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว ตลาดหุ้นยิ่งย่ำแย่ลง และไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ คณะกรรมการเฟดทั้งหมดอาจจะต้องกลายไปเป็น “จำเลยสังคม” รับผิดชอบต่อความตกต่ำของตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ได้เริ่มฟื้นคืนกลับมาเกือบปกติแล้ว ในขณะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในจีนเองก็เริ่มจะอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คงจะทำให้คณะกรรมการเฟดมีความมั่นใจมากขึ้น ผมจึงไปค้นดูว่าเฟดจะมีการประชุมกันอีกเมื่อไร? ซึ่งพบว่า ปีนี้เฟดจะประชุมกันอีก 2 ครั้งคือ วันที่ 27-28 ตุลาคม และ วันที่ 15-16 ธันวาคม เรา…ที่เป็นนักลงทุน…จึงต้องติดตามกันต่อไปนะครับ
“ผลกระทบ…ต่อประเทศอื่นๆ และต่อประเทศไทย จะเป็นอย่างไร?”
ภาพที่น่าจะเห็นได้ง่ายๆก็คือ หลังจากเฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว แนวโน้มการลงทุนทั่วโลกจะมีความระมัดระวังมากขึ้น ตลาดหุ้นและตราสารทุนทั่วโลกจะเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ตามต้นทุนของเงินที่เพิ่มขึ้น นักลงทุนที่อ่อนไหวก็จะโยกเม็ดเงินไปหาแหล่งพักพิงที่ปลอดภัย (Safe Haven) อันดับต้นๆก็คงจะเป็น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และบรรดาตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง เป็นต้น
กลุ่มประเทศที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างแรงน่าจะเป็นกลุ่มประเทศที่เรียกว่า “กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market)” ไม่ว่าจะเป็นประเทศในลาตินอเมริกา ยุโรปตะวันออก และอีกหลายๆประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยด้วย ล้วนเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ทั้งสิ้น ซึ่งก็จะต้องผจญกับปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “Capital Flight” นั่นคือ ปรากฏการณ์ที่เงินทุนหรือทรัพย์สินจากต่างประเทศพากันไหลออกจากประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์ที่คุณผู้อ่านคุ้นเคยก็น่าจะเป็นเงินทุนต่างชาติไหลออกในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 แต่ในปัจจุบันเงินทุนหรือทรัพย์สินของต่างชาติจะไหลออกจากไทยไป ไม่ใช่เป็นเพราะเหตุผลว่า เศรษฐกิจไทยมีปัญหา แต่ไหลออกเพราะ ผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจาก เฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ผลที่น่าจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยอาจแบ่งง่ายๆได้เป็น 2 กรณีคือ กรณีแรก ขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณ 25 basis points หรือเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสลึงหนึ่ง ในกรณีนี้ผลกระทบน่าจะน้อย ตลาดหุ้นอาจจะแกว่งบ้างแต่ไม่น่าจะมากนัก อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็น่าจะถึงเวลาที่จะผงกหัวขึ้น หลังจากอยู่ในภาวะขาลงมานานแล้ว บรรยากาศการลงทุนก็คงจะไปเรื่อยๆ กรณีที่สอง เฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 50 basis points หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าห้าสิบสตางค์นั่นเอง ผลกระทบคงแรง ตลาดหุ้นน่าจะแสดงปฏิกิริยาทางลบออกมาในอันดับต้นๆ ตามมาด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย และจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์พลอยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามไปด้วย
“มองแง่ร้าย…กรณีเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง”
กนง.ของไทยคงต้องปรับอัตราดอกเบี้ยตาม ไม่เช่นนั้นก็จะยิ่งทำให้เงินทุนที่อยู่ภายในประเทศพากันไหลออกกันขนานใหญ่ หากภายในประเทศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไม่มากนัก เงินทุนก็ยังคงไหลออกมากอยู่ดี แต่ถ้าปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาก บรรยากาศการลงทุนภายในประเทศก็คงจะแย่ลง เพราะต้นทุนของเงินลงทุนสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนตลาดหุ้นก็คงจะตกใจและดิ่งลงหาก้นไม่เจอ…หลังจากนั้นจึงเริ่มมีสติ และกลับมาเข้าสู่ราคาที่แท้จริงของมันอีกครั้งหนึ่ง
หากเกิดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแรงจริงๆ ประเทศที่มีปัญหาทางด้านหนี้สาธารณะ ปัญหาเงินสำรองระหว่างประเทศต่ำก็จะมีปัญหาก่อน เพื่อนบ้านที่ใกล้ๆตัวเราและคาดว่าจะมีปัญหามากก็คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เพราะประเทศเหล่านี้มีปัญหาที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ส่วนประเทศที่มีระบบการควบคุมเงินทุนเข้าออก (Capital Control) โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV อันได้แก่ Cambodia, Laos, Myanmar และ Vietnam คงประสบปัญหาบ้าง แต่ไม่หนักหนาเท่ากับสามประเทศแรก ส่วนไทยที่มีหนี้สาธารณะระดับประมาณ 50% ของ GDP และมีเงินสำรองระหว่างประเทศประมาณ 5.5 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะต้องประสบปัญหา แต่ก็ไม่คงไม่หนักหนาเท่าหลายๆประเทศที่กล่าวไปแล้ว
ท้ายนี้ สำหรับคุณผู้อ่าน…ที่เป็นนักลงทุน ผมคิดว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยแน่ๆ แต่ผมเองยังมองว่า จะไม่หนักหนาสาหัสซักเท่าไร ผมกลับมองว่า สิ่งที่จะทำให้เศรษฐกิจไทย…จะดีขึ้นมาได้ก็คือ “ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย” ของคนไทยด้วยกันเอง และเมื่อมีความเชื่อมั่นแล้ว ทุกคนจะกล้าลงทุน…กล้าซื้อสินค้า…และทุกๆอย่างจะดีขึ้นเองครับ
โชคดีในการลงทุนนะครับ : )
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
No Comments Yet
You can be the first to comment!
Leave a comment