doctorwe.com

Dr.Weraphong Chutipat   A Columnist

Fanpage 828_315
  • ล่าสุด
  • บทความ
  • แจกฟรี
  • การอบรม
  • ชม+ฟัง
  • ผู้เขียน


  • A A A
    • พ.ศ. :
    • 2563
    • 2562
    • 2561
    • 2560
    • 2559
    • 2558
    • 2557
    • 2556
    • 2555
    • 2554
      เดือน :
    • ม.ค.
    • ก.พ.
    • มี.ค.
    • เม.ย.
    • พ.ค.
    • มิ.ย.
    • ก.ค.
    • ส.ค.
    • ก.ย.
    • ต.ค.
    • พ.ย.
    • ธ.ค.

    24 พฤษภาคม 2559

    2,136 views

    “Zombie Economy” ของญี่ปุ่น ตอนที่ 1

    พิมพ์หน้านี้

    คอลัมน์:  หุ้นส่วน ประเทศไทย

    “Zombie Economy” ของญี่ปุ่น  ตอนที่ 1

    ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์

    www.doctorwe.com

     

    ในเวลานี้…  คงมีคุณผู้อ่านหลายท่านที่มีความรู้สึกว่า เศรษฐกิจของไทยในเวลานี้มีอาการเซื่องซึม และคงต้องรอสักอีกสักระยะหนึ่งกว่าอาการจะเริ่มดีขึ้น  คนญี่ปุ่นเอง…ก็เหมือนกัน เพียงแต่ของไทยเราน่าจะใช้เวลาประมาณ 5-6 ปี  (จำได้ว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้นล่าสุดน่าจะในปี 2555  และหวังว่าจะกลับมาดีอีกก็น่าจะในปี 2560 หรือ 2561)  แต่ของญี่ปุ่นใช้เวลามาเกือบ 30 ปี  ปัจจุบัน…ก็ยังไม่เห็นฝั่งฝันเลย  ผมจึงอยากนำเรื่อง “Zombie Economy” หรือ “ภาวะเศรษฐกิจแบบผีดิบ”  จะอยู่…ก็ลำบาก จะตาย…ก็ตายไม่ได้  มาเป็นอุทาหรณ์ให้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน ดังนี้ครับ

     

    เมื่อสินค้าญี่ปุ่น…แสดงอิทธิฤทธิ์

    คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 กันมาบ้าง และบางท่านก็คงรู้ดีว่า ญี่ปุ่นได้รับความพ่ายแพ้จากสงครามในครั้งนั้นอย่างยับเยิน ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนีก็พยายามที่จะพัฒนาประเทศตนให้กลับมามีสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมให้กลับมาดีเหมือนเดิมให้จงได้ ญี่ปุ่นเองได้รับเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก ด้วยการลอกเลียนแบบและต่อยอดเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา ก็ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มผลิตสินค้าที่มีหลากหลายยี่ห้อออกไปสู่ตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า  ดัทสัน (นิสสัน)  โซนี่  เนชั่นแนล (พานาโซนิค) เป็นต้น แต่สินค้าในช่วงแรกก็ขายได้ไม่ดีนัก

    ในปี 2513  องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (Organization of Petroleum Exporting Countries – OPEC) ก็ได้รวมหัวกันควบคุมโควตาการส่งออกน้ำมัน และบีบให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจากประมาณ 10 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นไปถึงกว่า 35 ดอลลาร์  หลังจากนั้นรถยนต์ของญี่ปุ่นที่มีขนาดเล็กและกินน้ำมันน้อยกว่ารถยนต์คันใหญ่ของอเมริกา ก็เข้าไปตีตลาดรถยนต์ของอเมริกากระเจิง และทำให้รถยนต์ญี่ปุ่นมีบทบาทสูงในตลาดโลก ต่อมาญี่ปุ่นได้ดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าไปทั่วโลก โดยสินค้าญี่ปุ่นจะมีราคาที่ถูกและคุณภาพที่ใช้ได้ได้ไปตีตลาดสินค้าท้องถิ่นในหลายๆประเทศขายอย่างรุนแรง และทำให้ธุรกิจร้านค้าในหลายประเทศต้องล้มละลายไป จึงได้สร้างความเกลียดชังและโกรธแค้นให้เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก จนมีหลายประเทศให้สมญานามญี่ปุ่นว่า “สัตว์เศรษฐกิจแห่งเอเชีย” 

    พอมาถึงช่วงปี 2523 ถึง 2528 ค่าเงินของอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยนของญี่ปุ่นและค่าเงินดอยช์มาร์คของเยอรมนี ซึ่งปัญหาเรื่องค่าเงินก็ได้ทำให้อุตสาหกรรมหลายประเภทของอเมริกาประสบกับความยากลำบากในการทำธุรกิจ จึงทำให้หลายๆบริษัทพากันออกมาเดินขบวนและสร้างกระแสการกีดกันสินค้าจากต่างชาติที่เข้ามาตัดราคาโดยอาศัยค่าเงินที่ต่ำกว่า ได้แก่ ไอบีเอ็ม (IBM),  แคทเตอร์พิลลาร์ (Caterpillar),  โมโตโรลา (Motorola) เป็นต้น  โดยมุ่งเน้นโจมตีไปที่ค่าเงินเยนและเงินดอยช์มาร์คที่อ่อนค่าเกินปกติ เพราะสินค้าของญี่ปุ่นและเยอรมนีขายดีไปทั่วโลก

    ช่วงแรกรัฐบาลของนายโรนัลด์ เรแกน ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่กระแสบีบรัดให้รัฐบาลอเมริกันต้องตอบโต้ก็แรงขึ้นเรื่อยๆ  โดยสภาคองเกรสได้ออกกฎหมายโต้ตอบทางการค้ากับสินค้าจากทั้งสองประเทศ และบีบให้รัฐบาลเรแกนต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นการตอบโต้ค่าเงินเยนและดอยช์มาร์ค และท้ายที่สุดก็นำไปสู่… “สนธิสัญญาพลาซา”

    ในวันที่ 22 กันยายน 2528 ที่โรงแรมพลาซา นครนิวยอร์ค มีการลงนามกันในสนธิสัญญาพลาซา (Plaza Accord)  สนธิสัญญานี้เป็นการริเริ่มโดยสหรัฐอเมริกา และได้เชิญอีก 4 ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในขณะนั้นมาตกลงกันและร่วมลงนามได้แก่ ญี่ปุ่น เยอรมัน อังกฤษ และฝรั่งเศส  โดยวัตถุประสงค์ของของสัญญาฉบับนี้ก็คือ ผูกมัดให้ทุกประเทศที่ลงนามต้องร่วมกันแทรกแซงตลาดเงินเพื่อให้ค่าเงินของอเมริกามีค่าอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินเยนของญี่ปุ่นและเงินดอยช์มาร์คของเยอรมนี

     

    ฤา  ญี่ปุ่น…จะครองโลก  

    ในช่วงปี 2528 ถึง 2532  เป็นไปดั่งคาดหมายค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง 51% เมื่อเทียบกับเงินเยน  ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี พูดง่ายๆก็คือ เงินเยนแข็งค่าขึ้นเท่าตัว  ทำให้เม็ดเงินที่มีต้นทุนถูกจำนวนมหาศาลไหลเข้าญี่ปุ่น เพื่อเก็งกำไรค่าเงินเยนที่ต้องแข็งตัวขึ้น

     

    จากกราฟเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงปี 2529 – 2533 (ค.ศ. 1986 – 1990)  นับตั้งแต่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นจากระดับสูงกว่า 240 เยนมาสู่ระดับต่ำกว่า 120 เยนต่อดอลลาร์  ดัชนีนิคเคอิจากระดับต่ำกว่า 15,000 จุด ก็ผ่านช่วงดีที่สุดของตลาดหุ้นโตเกียวที่เรียกว่า “51 months of Bubble Boom” โดยดัชนีนิคเคอิขึ้นติดต่อกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2529 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2534 เป็นระยะเวลา 51 เดือนของการที่ดัชนีนิคเคอิปรับตัวขึ้นโดยตลอด  จนทำให้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างมโหฬารและทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 38,957.44 ในปี 2532 

    ธนาคารของญี่ปุ่นหลายธนาคารมีเงินทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลและติดอันดับโลกนับเป็นสิบๆธนาคาร ส่งผลให้ปล่อยกู้ให้กับภาคเอกชนของญี่ปุ่นจำนวนมหาศาลเช่นกัน มีการเข้าซื้อโรงงาน เครื่องจักร อาคาร และอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ราคาบ้านและที่ดินเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทิ่ดินในญี่ปุ่นหลายแห่งติดอันดับแพงที่สุดในโลก

    ในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นได้สร้างอภินิหารให้คนอเมริกันทั้งประเทศอกสั่นขวัญแขวน นับตั้งแต่ที่บริษัทโซนี่ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอิเลคทรอนิกส์ใช้เงิน 4,200 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อโรงถ่ายภาพยนตร์โคลัมเบียพิคเจอร์สในปี 2532  ในปีเดียวกัน บริษัทมัสซูชิตะ เจ้าของแบรนด์เนชั่นแนลและพานาโซนิค ก็ทุ่มเงิน 6,100 ล้านดอลลาร์เข้าซื้อบริษัทเอ็มซีเอ (MCA) ผู้เป็นเจ้าของโรงถ่ายยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ  และสิ่งที่ทำให้คนอเมริกัน…ตกตะลึงกันทั้งประเทศก็คือ บริษัทมิตซูบิชิเข้าซื้ออาคารรอคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Building) ใจกลางมหานครนิวยอร์ค หนึ่งในอาคารที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา

     

    “อาคารรอคกี้เฟลเลอร์” กลางมหานครนิวยอร์ค  หนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา

    ภาพความยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นได้สะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนในภาพยนตร์เรื่อง “Die Hard” ภาคแรก ที่แสดงนำโดยบรูซ วิลลิส  โดยเนื้อเรื่องเริ่มต้นที่ชาวญี่ปุ่นเปิดพลาซาที่ยิ่งใหญ่มีชื่อว่า “Nakatomi Plaza” ใจกลางนครลอสแองเจิลลิส  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่ำรวยและยิ่งใหญ่ของบริษัทญี่ปุ่นในเวลานั้นได้เป็นอย่างดี

    โมเดลอาคารนากาโทมิพลาซา ในภาพยนตร์เรื่อง “Die Hard” ภาคแรก

    ณ เวลานั้น คนเกือบทั่วโลกต่างพากันคิดว่า “ญี่ปุ่น” เจ้าแห่งเศรษฐกิจตนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และกำลังจะกลายเป็น “เจ้าโลก” ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยไม่มีผู้ใดจะหยุดยั้งได้

    อ่านต่อ…ตอนจบ ในวันพรุ่งนี้นะครับ  แล้วพบกันครับ   : )   

     

    พิมพ์หน้านี้

    ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์

    2,136 views  Comments

    Posted Under โพสต์ทูเดย์

    No Comments Yet

    You can be the first to comment!

    Leave a comment

    * = Required

    CAPTCHA Image
    Refresh Image
    *

      • 10 อันดับ
      • Facebook
      • Twitter

      บทความที่โพสต์ขึ้นเฟสบุ๊ค เมื่อคืนนี้เอาขึ้นเว็บแล้วนะครับสนใจคลิกที่... http://t.co/ylMslUNy

      follow me on
      twitter

    •  
    • Subscribe Email


       

    • Polls Sorry, there are no polls available at the moment.
    • Tag Cloud
      CSR GDP IMF กรีซ การลงทุน ครัวโลก ความรู้นักลงทุน ความเป็นอิสระทางการเิงิน คอร์รัปชัน ค่าแรง ตาน ฉ่วย ทองคำ ธนินทร์ เจียรวนนท์ น้ำท่วม 2554 บัตรเครดิต ประชาธิปไตย พม่า พื้นที่ทับซ้อน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยุโรป วิกฤตซับไพรม์ วิธีบริหารกองทุน วีรพงษ์ ชุติภัทร์ สหรัฐอเมริกา หนองหว้า หนี้สาธารณะ หมู่บ้านเกษตรกรรม หมู่เกาะสแปรตลีย์ หุ้น หุ้นแอปเปิ้ล หุ้นโกดัก อาเซียน อิสรภาพทางการเงิน อเมริกา เจริญโภคภัณฑ์ เจริญโภคภัณฑ์อาหาร เผด็จการ เล่นหุ้น เศรษฐกิจไทย แมคอินทอช แอปเปิ้ล โกดัก โซเวียต ไอเอ็มเอฟ ไอแพด 2
    • สถิติบล็อก
      • 2485040เข้ามาอ่านทั้งหมด:

    This site is using the Handgloves WordPress Theme
    Designed & Developed by George Wiscombe

    Subscribe via RSS