- doctorwe.com - http://www.doctorwe.com -
“ทองคำ” ราคาขึ้นมาแล้ว… จะไปต่อไหม?
Posted By ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์ On กรกฎาคม 28, 2016 @ 7:36 am In โพสต์ทูเดย์ | No Comments
คอลัมน์: หุ้นส่วนประเทศไทย
“ทองคำ” ราคาขึ้นมาแล้ว… จะไปต่อไหม?
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
คุณผู้อ่านหลายท่านคงทราบดีว่า ราคาทองคำต่อน้ำหนัก 1 บาท ในวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ชาวอังกฤษลงประชามติออกจากอียู (Brexit) วันนั้นราคาทองคำต่อบาทปิดที่ 21,150 บาท พอมาถึงวันรุ่งขึ้นก่อนรู้ผล ราคาทองคำก็แกว่งไปมาจนมีการประกาศราคาทองคำเปลี่ยนแปลงภายในวันเดียวถึง 31 ครั้ง และมาปิดที่ 21,950 บาท เพิ่มขึ้นภายในวันเดียว 800 บาท พอมาถึงกลางเดือนกรกฎาคม (16 กรกฎาคม) ราคาทองคำขึ้นไปสูงถึง 22,150 บาทแล้ว ทำให้หลายๆคนเริ่มตั้งคำถามว่า “แล้วราคาทองคำจะไปต่ออีกไหม?” ผมจึงอยากมาคุยให้คุณผู้อ่านได้ทราบที่มาที่ไปของราคาทองคำที่พุ่งขึ้นมา และแนวโน้มจากนี้ไปดังนี้ครับ
หนึ่ง ผลจาก Brexit
เราคงปฎิเสธไม่ได้อย่างแน่นอนว่า ผลจาก Brexit มีผลโดยตรงกับการขึ้นของราคาทองคำ ในวันที่ผลจากประชามติออกมาก็ส่งผลทันทีต่อดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษโดยตรงเช่นกัน ดังภาพด้านล่างครับ
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้อังกฤษได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่แล้วที่มีชื่อว่า เธเรซา เมย์ (Theresa May) จึงทำให้ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงหลังผล Brexit เริ่มผ่อนคลายลง เอเดรียน แอช (Adrian Ash) ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของตลาดการซื้อขายเงินและทองคำ Billion Vault ให้ความเห็นว่า “หลังผลประชามติของ Brexit ออกมา ราคาทองคำก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง แต่ในขณะนี้ความรุนแรงเริ่มสงบลงแล้ว แต่อย่าลืมว่า เรายังจะมีเหตุการณ์เลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริการออยู่อีกในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้”
สอง อัตราดอกเบี้ย
เป็นที่ทราบกันดีว่า ความต้องการทองคำจะพุ่งสูงขึ้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะต่ำลง ถึงแม้ว่าทองคำจะไม่ให้ผลตอบแทนใดๆเลยก็ตาม แต่ทองคำก็ถือว่าเป็น “แหล่งพักพิงที่ดีเยี่ยม” ของบรรดาเม็ดเงินที่พยายามหลีกหนีจากตลาดพันธบัตรและการฝากเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก
ในช่วงปลายปีที่แล้ว เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงกับอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกโดยตรง เมื่อธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟด (U.S. Federal Reserve) ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี หลังจากนั้นก็คาดกันว่า ในปีนี้เฟดน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง แต่หลังเหตุการณ์ Brexit ก็คาดกันว่า ในปีนี้เฟดคงจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเลย
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ใช่ว่า…อัตราดอกเบี้ยลดแล้ว…ราคาทองคำจะขึ้นเท่านั้น มีหลายครั้งมากๆที่ราคาทองคำขึ้นในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยได้ประกาศขึ้นไปแล้ว ในกราฟด้านบนจะพบว่า ในปี 1986 เส้นสีฟ้า… ปี 1999 เส้นสีเขียว และปี 2004 เส้นสีส้ม ทั้งสามปีนี้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย แล้วเราก็พบว่า ทั้งสามปีนี้ราคาทองคำล้วนเพิ่มขึ้น หลังจากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วนานถึง 250 วัน มีแต่เพียงปี 1994 เท่านั้นที่ราคาทองคำลดลงหลังจากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สาม ค่าเงินดอลลาร์
โดยปกติแล้ว ราคาทองคำมักจะแปรผันในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ โดยมีสมมติฐานว่า เมื่อค่าเงินดอลลาร์ลดลง นักลงทุนมักจะนิยมที่จะไปพักเงินที่ทองคำ และในเวลานั้นก็จะเป็นเวลาที่ราคาทองคำจะเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น
จากกราฟด้านบนเราจะพบว่า ค่าเงินดอลลาร์เปรียบเทียบกับ 10 ค่าเงินสกุลหลักของโลก ที่ผ่านมาในรอบปี (กรกฎาคม 2016 – กรกฎาคม 2017) มีแนวโน้มจะพุ่งสูงขึ้น จากการคาดคะเนว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น
ณ เวลานี้คุณผู้อ่านหลายท่านคงคิดเหมือนผมว่า โอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ววันนี้ ดูเหมือนว่าจะห่างไกลจากความเป็นจริงยิ่งนัก ดังนั้นเวลานี้อาจเป็นเวลาของราคาทองคำก็เป็นได้
สี่ วิกฤตเศรฐกิจยูโรโซน
ในหลายปีที่ผ่านมา วิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรโซนได้ส่งผลให้ผลตอบแทนของพันธบัตรของรัฐบาลประเทศในกลุ่มนี้ลดลงเป็นอย่างมาก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสเปน อิตาลี โปรตุเกส หรือกรีซ ก็ยังคงไม่ดีอยู่ และเมื่อใดก็ตามที่มีเหตุการณ์ผันผวนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น ผลตอบแทนของพันธบัตรของประเทศเหล่านี้ก็จะลดลงทันที
หลังเหตุการณ์ Brexit พบว่า พันธบัตรรัฐบาลสเปนอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนลดลงสูงถึง 30% ในช่วงเวลาที่รอผลประชามติ พอทราบผลแล้วผลตอบแทนก็ไปจบที่ลดลง 1.13% ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลโปรตุเกสอายุ 10 ปี ก็ให้ผลตอบแทนลดลงไปถึง 3.1%
อัตราผลตอบแทนที่ลดลงของพันธบัตรของรัฐบาลเหล่านี้ ได้เป็นตัวผลักดันให้นักลงทุนต้องเข้าไปลงทุนในทองคำแทน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ห้า ความต้องการทองคำของจีน
วันที่ 23 สิงหาคม 2011 ราคาทองคำได้เคยขึ้นไปสูงที่สุดที่ 1,917.90 ดอลลาร์ต่อทรอย
ออนซ์ หลังจากนั้นก็ค่อยๆย่อตัวลงมาเรื่อยๆ ในช่วงปลายปีที่แล้ว ราคาทองคำก็ลดลงมาต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ และหนึ่งในสาเหตุหลักที่นักวิเคราะห์หลายสำนักพูดกันก็คือ “เศรษฐกิจของจีนไม่ดี จึงทำให้คนจีนไม่มีใจที่จะมาซื้อทองคำ”
ธนาคารกลางของจีนก็นิยมนำทองคำมาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ (Foreign Reserve) ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้เพิ่มการซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองฯพุ่งสูงถึง 71.4% เปรียบเทียบกับธนาคารกลางทั่วโลกที่ซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 2.85% ในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินหยวนของจีนก็มีค่าลดลง ก็ยิ่งทำให้คนจีนที่ถือครองทองคำได้ผลตอบแทนสูงขึ้น
จากนี้ไปดูเหมือนว่า ค่าเงินหยวนของจีนจะมีโอกาสน้อยมากที่จะกลับมาทะยานขึ้นอีก อันสืบเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีนเอง โดยเฉพาะปัญหาหนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์ และอาจยิ่งทำให้จีนอาจต้องลดค่าเงินหยวนลงอีก ซึ่งคุณผู้อ่านคงทำนายได้ว่า คนจีนจะซื้อทองคำเพิ่มขึ้นหรือไม่?
จนถึงบรรทัดนี้ คุณผู้อ่านคงพอจะเข้าใจได้ว่า การคาดการณ์ราคาทองคำของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไปในทิศทางใด? เพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพิจารณาว่า “ราคาทองคำ…จะไปต่อไหม?” โชคดีในการลงทุนนะครับ : )
Article printed from doctorwe.com: http://www.doctorwe.com
URL to article: http://www.doctorwe.com/posttoday/20160728/6445
URLs in this post:
[1] www.CsiSociety.com: http://www.csisociety.com/
[2] Image: http://www.doctorwe.com/wp-content/uploads/2016/07/1.jpg
[3] Image: http://www.doctorwe.com/wp-content/uploads/2016/07/2.png
[4] Image: http://www.doctorwe.com/wp-content/uploads/2016/07/3.png
[5] Image: http://www.doctorwe.com/wp-content/uploads/2016/07/4.png
Click here to print.
Copyright © 2012 doctorwe.com. All rights reserved.