2 กันยายน 2555
3,182 views
Fiscal Cliff -หน้าผาทางการคลัง จะเป็นวิกฤต…หรือไม่
สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ เฟสบุ๊ค
พบกันใหม่ทุกๆวันเสาร์ และวันอาทิตย์
วันนี้ ผมจะพาเพื่อนไปเที่ยว “อเมริกา”
โดยจะคุยเรื่อง “หน้าทางการคลัง”
ในตอน “Fiscal Cliff -หน้าผาทางการคลัง จะเป็นวิกฤต…หรือไม่?”
สำหรับเพื่อนๆที่สนใจข่าวสารใน “วงการหุ้น-การเงิน”
คงเคยได้ยินคำว่า “หน้าผาทางการคลัง” หรือ Fiscal Cliff
แม้ว่าสิ่งที่เกิดนี้จะเกิดในสหรัฐอเมริกา เท่านั้น
แต่มันอาจสร้างผลกระทบที่รุนแรงไปทั่วโลก
ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า….
คำว่า Fiscal Cliff หรือ หน้าผาทางการเงิน ใคร? เป็นคนพูดถึงคำนี้ก่อน
ผู้ประดิษฐ์คำๆนี้ก็คือ นาย เบน เบอร์นันเก้
ผู้ว่าธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น คำๆนี้ เมื่อคุณเบน เป็นคนตั้งขึ้นมาเอง… จึงมีความหมายเป็น..อย่างยิ่ง
สำหรับ Fiscal Cliff หรือ หน้าผาทางการเงิน คืออะไร
และมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจหรือการลงทุนอย่างไรบ้าง?
Fiscal Cliff เป็นศัพท์ที่ใช้อธิบาย
“สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในเวลานี้ของสหรัฐ”
ซึ่งจะต้องประสบกับ เวลา..ที่มาตรการลดภาษี และ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ… กำลัง “หมดอายุ” กันหมด ในสิ้นปี 2555 นี้
ดังนั้นเวลานี้….
เมื่อเศรษฐกิจอเมริกา..ก็ยังไม่ดี
แต่…บรรดามาตรการช่วยเหลือพากัน “หมดอายุ” ลง
ก็อาจส่งผลให้ “เศรษฐกิจของสหรัฐ..กลับไปแย่..อีกครั้งหนึ่ง”
หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “Double Dip Recession”
หลังจากที่รัฐบาลนายบุช และนายโอบามา…
ได้ออกมาตรการลดภาษี
และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐไปอย่างมากมาย
เวลานี้บรรดามาตรการดังกล่าว…ก็กำลังใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
และรัฐบาลก็ยังไม่มีมาตรการใหม่ๆออกมารองรับ
โดยมาตรการที่กำลังจะหมดอายุลงนั้น ประกอบไปด้วย
หนึ่ง มาตรการลดภาษี การว่างงาน และการจ้างงาน หมดปีนี้ 2012
สอง มาตรการบรรเทาภาษีชนชั้นกลาง และการสร้างงาน หมดปีนี้ 2012
สาม มาตรการเก็บภาษีสวัสดิการสังคม (จ่ายภาษีเพิ่ม)
สี่ มาตรการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ (Sequestration)
หากไม่มีการขยายระยะเวลาออกไป
มาตรการช่วยเหลือทางด้านภาษี
และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ
ก็จะหมดอายุลง ภายในสิ้นปีนี้
ในขณะเดียวกันมาตรการ “ร้ายๆ” อีกเป็นจำนวนมากมาย
ก็จะหลั่งไหลกันออกมา
ไม่ว่าจะเป็น..
มาตรการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น สำหรับ..สวัสดิการการรักษา
มาตรการตัดลดงบประมาณอย่าง “มโหฬาร”
ในปัจจุบัน…..
ยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลสหรัฐ
จะมีมาตรการใดใหม่ๆ
ออกมาเพื่อทดแทนมาตรการเหล่านี้
ในขณะที่ สหรัฐจะเริ่มบังคับใช้มาตรการใหม่ นั่นคือ
มาตรการปรับลดงบประมาณภาครัฐ (Sequestration)
ที่จะลดงบประมาณของตนเองลงประมาณ 8.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2556
(Sequestration คือ มาตรการระยะยาวเพื่อ
ลดรายจ่ายทางด้านการคลังลงประมาณ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลา 10 ปี
โดยงบประมาณที่ถูกปรับลดราวครึ่งหนึ่งเป็นงบประมาณด้านกลาโหม)
นอกจากนี้แล้ว มาตรการลดสวัสดิการแก่ผู้ว่างงาน
ที่จะช่วยให้รัฐบาลสามารถลดรายจ่ายได้ลง 4.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ก็กำลังจะหมดอายุลงในปี 2556 นี้ด้วย
ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า
หลังจากมาตรการภาษีเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจบลงแล้ว
แต่สหรัฐกำลังจะตัดลดงบประมาณของตัวเองลง
พร้อมๆกับต้องแบกรับภาระด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นไปด้วยพร้อมๆกัน
สถานการณ์เช่นนี้จะมีผลทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐเดินไปในทิศทางใดนั่นเอง
โดยหลายฝ่ายคาดว่า Fiscal Cliff ที่กำลังจะเกิดขึ้น
จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นอย่างมาก
รวมถึงจะมีผลทำให้อัตราการจ้างในประเทศสหรัฐปรับตัวลดลงอีกด้วย
ซึ่งเปรียบเสมือนกับการตกจากหน้าผา
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือการเข้าสู่ภาวะหดตัวทางการคลังนั่นเอง
ซึ่งนักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่าหากเกิด Fiscal Cliff ขึ้น
จะมีผลทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ในปี 2556 อยู่ที่ระดับ 2.2%
หรือขยายตัวได้ต่ำกว่าปัจจุบัน 1%
ในขณะที่อัตราการว่างงานจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10% จากระดับปัจจุบันที่ 8.3%
นอกจากนี้แล้ว หากสหรัฐไม่มีการต่ออายุมาตรการภาษีออกไป
จะส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนลดลง
เนื่องจากประชาชนต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
และยังจะมีผลทำให้ปริมาณเงินที่เคยหมุนเวียนอยู่ในมือประชาชนหายไปอีกด้วย
ในสถานการณ์เช่นนี้
อาจทำให้สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง
และอาจส่งผลให้มีเงินไหลออกจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
รวมไปถึงสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ
แล้วไหลเข้าสู่ประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือดีกว่า และให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ทั้งนี้ อุปสรรคในการแก้ปัญหานี้
เกิดจากเหตุผลทางการเมือง
เนื่องจากสหรัฐกำลังอยู่ในช่วงระยะเวลาของการเลือกตั้งใหม่ที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย. 2555 นี้
สุญญากาศทางการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง
จะส่งผลทำให้การตัดสินใจใช้นโยบายต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้า
และในท้ายที่สุดแล้ว
สภาครองเกรสอาจไม่สามารถดำเนินมาตรการเพื่อหลีกเลี่ยงการตกหน้าผานี้ได้ทันเวลา
หลังจากการเลือกตั้งเพียง 2 เดือน
อีกทั้งพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค(เดโมแครตและรีพับลิกัน)
ต่างก็มีนโยบายทางการคลังที่แตกต่างกัน
ปัจจุบัน ปัญหา “หนี้สาธารณะ” กลุ่มยูโรโซน
ก็… หนักหนา..แสนสาหัส กันอยู่แล้ว
ถ้ามาเจอ ปัญหา “หน้าผาทางการเงิน” ของอเมริกา อีก
ก็..ไม่แน่ใจว่า เศรษฐกิจโลก ปีหน้า..จะเป็นอย่างไร ?
เพื่อนๆ ละครับ คิดว่า ปีหน้า… เศรษฐกิจไทย..จะดีไหม ?
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
No Comments Yet
You can be the first to comment!
Sorry, comments for this entry are closed at this time.